วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

6อย่างที่คุณควรทำ ถ้ารู้สึกว่าตอนนี้ชีวิตมันจำเจซ้ำซากไม่พัฒนา

โลกที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันคุ้นชินคือโลกที่สงบสุข แต่โลกที่เรารู้จักท้าทายตัวเองให้เปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างคือโลกที่จะทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ วันนี้เรามีวิธีเปลีย่นตัวเองเป็นเวลา 30วัน เพื่อทำอะไรที่ดูเหมือนง่ายแสนง่าย แต่อาจเปลี่ยนเราเป็นคนใหม่ได้แบบไม่รู้ตัว 6ข้อเท่านั้น 6ข้อที่จะสามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้





หัดปฏิเสธเสียบ้าง


เราอาจเข้าใจว่าการปฏิเสธมีแต่ด้านที่ไม่ดี แต่พลังแห่งการปฏิเสธก็มีด้านบวกอยู่เช่นกัน ลองกระบวนการปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่ปฏิเสธมันทุกอย่างที่เราไม่เต็มใจทำ (ไม่ใช่ต้องทำเพราะเกรงใจ) อย่างน้อย 30 วัน

30วัน แห่งการปฏิเสธจะช่วยให้เราได้บริหารจัดการการจัดลำดับความสำคัญในชีวิต แถมมันจะช่วยให้เราเรียนรู้ว่าจริงๆ แล้วโลกมันไม่ได้หยุดเลยถ้าเราจะปฏิเสธคนอื่นแล้วทำอะไรเพื่อตัวเองก่อนบ้าง








ลดการใช้โซเชียลมิเดีย


โซเชียลมิเดียเต็มไปด้วยประโยชน์ และงานจำนวนมาก เราก็ต้องทำโดยใช้โซเชียลมิเดียเป็นเครื่องมือ จุดนั้นเราคงไม่ว่ากัน แต่การใช้โซเชียลมีเดียที่รุกล้ำเวลาในชีวิตเราไปจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องเชื่อ แต่คนเราควรพิสูจน์และท้าทายตัวเอง ลองลดการใช้ซัก 30 วัน เราจะรู้ว่าเวลาแต่ละวันของเรามีมากเหลือเฟือขนาดไหน และทำอะไรได้อีกเยอะแค่ไหน







หยุดบ่นเสียบ้าง


บ่นนั่นบ่นนี่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงกับร่างกายคุณได้มากกว่าที่คุณคิด แน่นอนว่าถ้าเราไม่เจออะไรที่ขัดหูขัดตา เราคงไม่อยู่ๆ ไปบ่นอะไรออกมาแน่ แต่การบ่นสร้างรูปแบบความคิดที่ไม่ดีให้กับตัวเรา ทั้งสร้างความตึงเครียด ผูกเราอยู่กับมวลความคิดที่ไม่ดี ลองบอกตัวเองสิว่า หยุดบ่นซัก 30วันดูมั้ย เผื่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง เจออะไรไม่พอใจก็ลงมือแก้เลย แต่หยุดบ่นได้แล้ว








กินผักใบเขียว


แม้จะโตๆกันแล้ว แต่เราก็รู้ว่าผู้ชายอย่างเราๆ ยังแอบเบือนหน้าหนีให้กับอาหารจานผัก อาหารสีเขียวกันเป็นจำนวนไม่น้อย อย่าปล่อยใจตัวเองให้ล่องลอยไปกับของอร่อยจนลืมไปว่า อาหารมีประโยชน์ก็เป็นสิ่งสำคัญในการหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตใจเรา
30วัน ลองดู ลองท้าทายตัวเองด้วยการหันมากินผักใบเขียวเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม รับรองว่าใน 30 วัน เซลล์ต่างๆในร่างกายจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจนคุณก็ประหลาดใจกับผลลัพธ์









อาบน้ำเย็น


ไม่รู้เป็นอะไร ทั้งๆที่เป็นเมืองร้อน แต่หลายๆคนก็ยังหลงรักการอาบน้ำอุ่น น้ำร้อน เป็นชีวิตจิตใจ น้ำอุ่นนั้นช่วยผ่อนคลายได้จริง แต่การอาบน้ำเย็น แม้เป็นแค่ช่วงไม่กี่อึดใจหลังการอาบน้ำ ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายรับอ็อกซิเจนได้มากกว่าเดิม และทำให้เรากระตือรือร้น รวมถึงรู้สึกมีพลังได้ตลอดวัน ถ้าไม่เชื่อก็ลองเปลี่ยนแปลงตัวเองดูสิ








เขียนบันทึก หรือ เขียนอะไรก็ได้


เรื่องง่ายๆอย่างการเขียนกลับมีพลังมากกว่าที่เราคิด ไม่ว่าจะแง่การปลดปล่อยตัวเองจากความรู้สึกแย่ๆ เพราะเมื่อเราเริ่มต้นยอมรับตัวเองได้แล้ว เราจะกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆที่ผ่านเข้ามามากขึ้น
รวมทั้งการเขียนเพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ โดยกฏคือต้องเขียนทันทีที่ตื่นนอน เพราะตอนตื่นนอนคือตอนที่สมองเรายังไม่เรียบเรียงอะไรได้เต็มที่ สามารถปลดปล่อยความคิด จินตนาการกึ่งจริงกึ่งฝัน ออกมาได้เต็มที่โดยไม่ต้องให้ตรรกะเหตุผลมาคอยครอบเราเอาไว้

30วันจากนี้เขียนทุกเช้าโดยไม่ต้องกังวลว่าเราเขียนอะไร เราเขียนรู้เรื่องไหม แต่เขียนทุกอย่างที่เข้ามาในหัวเรา การทำแบบนี้จะช่วยให้ความคิดเราลื่นไหลได้มากขึ้นไปตลอดทั้งวัน





วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

หลักคำสอนจากในหลวง ร.9 ให้ปรับใช้ในชีวิต เพื่อความสำเร็จในการทำงาน





ลึกๆในใจของชาวไทยทุกคนแล้วยังโศกเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ ถ้าขอพรซักข้อคงจะขอให้ท่านกลับมา แต่ก็นั่นแหละครับ ชีวิตก็คือชีวิต เมื่อเรารักพระองค์ท่าน พระองค์ท่านคงอยากเห็นพวกเราเดินหน้าต่อไปมากกว่า และทำยังไงให้ท่านไม่จากไปจากเรา คำสอนของท่านนั่นเอง ซึ่งมีประโยชน์และความรู้อย่างมากโข ทั้งการใช้สติ การใช้อารมณ์ แนวทาง การใช้ชีวิตแบบพอเพียง กระผมขอหยิบยกตัวอย่างคำสอนของท่านมาลองให้อ่านกันนะครับ




พระบรมราโชวาทเกี่ยวกับเรื่อง "การทำงาน"






" การทำงานใดๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ควรอย่างยิ่งที่จะตั้งเป้าหมาย ขอบเขต และหลักการไว้ให้แน่นอน เพราะจช่วยให้ สามารถปฏิบัติมุ่งเข้าสู่ผลสำเร็จได้โดยตรงและ ถูกต้องพอเหมาะพอดี เป็นการป้องกัน และขจัดความล่าช้า ความสิ้นเปลือง ความเสียเปล่า ทุกอย่างได้อย่างสิ้นเชิง "

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 17 กรกฎาคม 2530









" เมื่อมีโอกาส และมีงานให้ทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใดไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริงๆนั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใดย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่ มีความขยันและซื้อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานทำสูงขึ้น "

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา 8 กรกฎาคม 2530











"  การทำงานใดๆ ไม่ว่าเล็ก ใหญ่ ง่าย ยาก ถ้าย่อหย่อนจากความเพียรแล้ว ยากที่จะให้สำเร็จเรียบร้อยทันเวลาได้ และเมื่อใดพลังของความเพียรนี้เกิดขึ้น เมื่อนั้นการงานทั้งหลายก็สำเร็จได้โดย ง่ายดายและรวดเร็ว "

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 21 มิถุนายน 2522









" การทำงานสร้างอนาคตนี้ นอกจากจะต้อง ใช้วิชาความรู้ที่ชัดเจนเป็นหลักแล้ว บุคคลยังจำเป็นต้องอาศัยคุณสมบัติพิเศษอีกหลายด้านเป็นเครื่องอุดหนุน และส่งเสริมความรู้ของตนเป็นอย่างมากอีกด้วย "

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 31 ตุลาคม 2528










"การทำงานให้สำเร็จผลแน่นอน และสมบูรณ์ตามเป้าหมายนั้นจะต้องใช้ความรู้ความสามารถ พร้อมทั้งคุณสมบัติที่สำคัญๆ ในตัวบุคคลหลายประการ ทั้งความตั้งใจที่มั่นคง ความคิดสร้างสรรค์ ความอุตสาหะพยายาม ความรับผิดชอบ ตลอดจนความสุจริต เป็น ธรรมนำมาปฏิบัติโดยสม่ำเสมอ "


พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 19 กรกฎาคม 2528











" ทุกคนต่างมีหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำเฉพาะหน้าที่นั้น เพราะว่าถ้าคนใดทำหน้าที่เฉพาะของตัว โดยไม่มองดูคนอื่น งานก็ดำเนินไปไม่ได้ เพราะเหตุว่า งานทุกงานจะต้องพาดพิงกัน จะต้องเกี่ยวโยงกัน ฉะนั้น แต่ละคนจะต้องรู้ถึงงานของผู้อื่น แล้วช่วยกันทำ "

พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย 4 ธันวาคม 2533







"การทำงานให้มีประสิทธิผล และให้ดำเนินไปได้โดยราบรื่นนั้น จำเป็นอย่างยิ่ง จะต้องทำด้วยความรับผิดชอบอย่างสูง ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริงไม่บิดเบือนจุดประสงค์ที่ แท้จริงของงานสำคัญที่สุดต้องเข้าใจความหมายของคำว่าความรับผิดชอบ เพราะความรับผิดชอบ คือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ทำ จะหลีกเลี่ยงละเลยไม่ได้"

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 16 กรกฎาคม 2519







" อุปสรรคสำคัญของการทำงาน คือความท้อถอยและความหวั่นเกรงต่ออิทธิพลต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุบั่นทอนความสามารถในตน กับทั้งความเที่ยงตรงต่อหน้าที่ อย่างร้ายกาจ จึงต้องระมัดระวังควบคุมสติ และรักษาความสุจริตเป็นธรรมไว้ให้ได้ ตลอดเวลา "

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานกระบี่ และปริญญาบัตรนักเรียนนายร้อยตำรวจ ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร 18 เมษายน 2532





" การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความสุจริตกาย สุจริตใจ ด้วยความคิดเห็นที่เป็นอิสระ ปราศจากอคติ และด้วยความถูกต้องตามเหตุตามผลจึง จะช่วยให้งานบรรลุจุดมุ่งหมาย และประโยชน์ที่พึ่งประสงค์โดยครบถ้วนแท้จริง "

วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2560

8 เคล็ดลับช่วยรักษา ทัศนคติในการใช้ชีวิตได้

เรื่องราวในแต่ละวันที่เราได้พบเจอในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีแต่ด้านลบเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นข่าวเศรษฐกิจถดถอย หรือเรื่องราววิถีชีวิตประจำวันที่ต้องพบเจอ กลับกลายเป็นว่าทุกๆวันนี้ หลายคนติดหลุมกับดักการใช้ชีวิต และข่าวสารมากมาย จนเผลอเสพความคิดแย่ๆ เข้าไป

การรักษาทัศนคติที่ดีให้คงอยู่ไว้ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ในการช่วยเพิ่มพลังให้กับตัวเราเองและคนรอบตัวเรา ลองมาดูวิธีหรือเคล็ดลับที่จะทำให้มีการคิดบวกเป็นสกิลติดตัว ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์อะไรเข้ามาในชีวิตเรา ก็พร้อมจะรับมือได้











ทำวันใหม่ให้ดี

การคิดบวกไม่ได้หมายถึงเพียงความคิด แต่รวมไปถึงการกระทำ เช่นเวลาช่วงเช้าที่แสนจะน่าเบื่อ ไม่อยากลุกออกจากเตียง การที่เราทำตัวเอื่อยเฉื่อยตั้งแต่เช้าอาจพาลให้ทั้งวันของเรากลายเป็ฯวันที่น่าเบื่อ เพราะงั้นลองหาวิธีช่วยเสริมประสิทธิภาพในตอนเช้าให้ดีขึ้น เช่น การเปิดเพลงโปรดสักเพลงที่ไม่ใช่ทำนองหดหู่ อวยพรให้เราเริ่มต้นวันใหม่ให้เป็นวันที่ดี แค่เพียง 1 นาทีหรือ 15นาที มันจะช่วยเพิ่มความคิดบวกและช่วยให้เราอารมณ์ดีแบบไม่น่าเชื่อ







กล้าเผชิญความเป็นจริง

การคิดบวกไม่ใช่การหลอกตัวเองว่าทุกสิ่งมันต้องดีเสมอ แต่มันคือการเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นได้ แล้วนำความเป็นจริงนั้นมาคิดในเชิงบวก ไม่กดดันหรือทำร้ายความคิดของตัวเอง เพราะถ้าเรายิ่งรู้จักยอมรับและคิดบวกกับมันมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะรับและเผชิญหน้าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตได้มากขึ้น









การสื่อสารด้วยความเข้าใจ

ถ้าเป็นคนที่มีความคิดแบบ Negative Thinking ไม่เพียงแค่ตัวเรารู้สึกไม่ชอบใจเท่านั้น คนรอบข้างที่อยู่ๆตัวเรา ก็พาลจะได้ Negative Thinking นี้ไปด้วย ยิ่งบางครั้งตัวเราเผลอสื่อสารความคิดและคำพูดแย่ๆ ออกมาทางคำพูดหรือท่าทางโดยไม่รู้ตัว ยิ่งทำให้คนอื่นรู้สึกแย่กับตัวเราไปกันใหญ่ แม้บางครั้งเราอาจะไม่สามารถทำอะไรให้หายหงุดหงิดได้ทันที แต่เราสามารถที่จะตอบรับและพูดด้วยประโยคดีๆ เชิงบวกให้กับคนอื่นได้







ออกกำลังกาย พาชีวิตบวก

ไม่ได้เป็นเพียงเฉพาะความคิดเท่านั้น การออกกำลังกายที่เรากำลังจะพูดถึงก็เป็นอีกส่วนที่เพิ่มพลังในด้านความรู้สึก เพราะถ้าเรามีสุขภาพที่ดี ทัศนคติและความคิดของเราก็จะทรงพลังและดีมากขึ้นเช่นเดียวกัน ลองทำกิจกรรมที่เราชอบ อย่างเช่นการปั่นจักรยาน หรือการวิ่งดู รับรองว่าหลังวิ่งเสร็จ คุณอาจจะเผลอยิ้มและมีความสุขที่เหงื่อไหลออกมาแบบไม่รู้ตัว มันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างแรงบันดาลใจในความคิดได้แบบไม่น่าเชื่อ








หนังสือเพิ่มพลัง

มีหนังสือแทบจะเป็นหลายร้อยเล่มในโลกที่ช่วยให้เราสามารถซึมซับและเพิ่มแรงบันดาลใจในชีวิตให้กับตัวเราได้ บางครั้งเราอาจไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตแบบภาพในฝัน แต่การอ่านหนังสือเหล่านี้ มันจะช่วยให้เราได้เรียนรู้ความคิดและคำพูดดีๆ ได้แบบไม่น่าเชื่อ ยกตัวอย่างเช่นตัวผมชอบอ่านหนังสือ 10คน ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจ ตอนอ่านจบจะรู้สึกเหมือนมีพลังและอยากทำให้ได้แบบนี้บ้าง เพื่อนๆก็ลองดูครับ มันช่วยได้จริงๆ








ชาร์ตแบตเตอร์รี่ชีวิต

กุญแจสำคัญในการรักษาทัศนคติที่ดีของเราไว้ให้คงอยู่ คือการใช้ชาร์จแบตเตอร์รี่ให้กับชีวิตอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจเป็นการใช้เวลาสองสามชั่วโมงในช่วงวันอาทิตย์สุดสัปดาห์เพื่ออ่านหนังสือเชิงบวก หรือใช้่เวลาสักสองสามวันในวันหยุดออกเดินทางไปที่ที่คุณอยากไป รับรองเลยว่าการออกจากวงจรเดิมๆ ไปเจออะไรใหม่ๆ จะช่วยเพิ่มหลังคิดบวก และการมองโลกในแง่ดีได้ขึ้นเยอะ








คนแบบเดียวกัน

บอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่การเหยียดหรือการทำให้กีดกันเพื่อนที่มีอยู่ของคุณให้ออกไปจากชีวิต แต่เราแค่อยากให้คุณมองหาคนที่มีอะไรเหมือนๆกับคุณ ลองใช้เวลาออกไป Hang Out หรือนัดทานกาแฟยามว่าง พูดคุยในสิ่งที่คิดดู ถ้าเราต้องการอะไรที่พอดีพอควร การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกับคนประเภทเดียวกันจะช่วยให้คุณไม่ปวดหัว และได้พลังบวก กลับมาอีกด้วย








หยุดฟังเพลงความคิดลบๆ

เรารู้ว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่จะต้องคิดบวกอยู่ตลอดเวลา เพราะบางครั้งความคิดแนวลบๆ ก็เหมือนฟองอากาศที่ขึ้นมาเป็นครั้งคราว และอาจจะบ่อยเวลาที่เราอินไปกับสถานการณ์รอบตัว เราลองสังเกตตัวเองกันดีๆ สักหน่อย ว่าความคิดเชิงลบมักจะมาในรูปแบบไหน เราจะได้ทันระวังตัวให้ห่างจากมัน

และถ้าสังเกตจากคนรอบตัวที่พบเจอ ส่วนใหญ่จะเป็นเวลาที่เผลอไปฟังเพลงซักเพลง เช่นเพลง อกหัก เพลงหดหู่ ช่วงฟังจะรู้สึกหาเหตุการร์มาอิงกับเพลงเสมอ และฟังจบทำให้รู้สึกแย่เข้าไปอีก คิดถึงความหลัง กว่าจะดึงสติกลับมาเป็นปกติได้ต้องใช้เวลาซักพักเลย แนะนำว่าถ้ารู้สึกผิดหวังหรือเศร้า หรือโกรธ ให้ออกห่างจากเพลงแนวคิดลบๆดีกว่า ทำให้เราจมดิ่งกับมัน



วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

10 ประโยคคำคมของดาราฮอลลีวู๊ด ที่สามารถนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจในชีวิตได้

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าหลายๆคนในโลกนี้สามารถพลิกชีวิตตัวเองด้วยเพียงเพราะคำพูดเพียงประโยคเดียวมาแล้ว และเชื่อไหมว่ามุมมองความคิดวามารถเปลี่ยนอะไรได้หลายๆอย่าง แค่ความคิดเปลี่ยนเราก็สามารถมองอะไรได้กว้างขึ้น เปิดรับอะไรที่มีประโยชน์ต่อตัวเราได้มากขึ้น หรือแม้แต่ปิดกั้นอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ให้เข้ามาหาเราน้องลง

เราเชื่อว่าพลังของความคิดที่คิดบวกมีอิทธิพลมาก เคยถึงกับมีผลวิจัยว่าการที่เราคิดบวกอยู่ตลอดเวลา มักนำพาแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต ลองมาดูคำคมของดาราเหล่าฮอลลีวู้ดที่อาจจะพลิกชีวิตของคุณ อย่างน้อยก็น่าจะมีซักประโยคที่คุณสามารถ เปลี่ยนแปลงชีวิตที่มันแย่ๆในปัจจุบันให้มีอนาคตขึ้นมาเลย







" I asked God fot a bike but i know god doesn't work that way so i stole a bike and asked for forgiveness "

" ข้าพเจ้าเคยอ้อนวอนขอพระเจ้าถึงจักรยาน แต่ข้าพเจ้ารู้ว่านั่นไม่ใช่วิธีการของพระองค์ ข้าพเจ้าจึงขโมยจักรยานแล้วค่อยวอนขอการอภัยแทน "

Al Pacino







" I used to think the worst thing in life was to end up all alone, it's not. The worst thing in life is to end up with people who make you fell all alone "

" ข้าพเจ้าเคยคิดว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคือการต้องมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ไม่ใช่เลย สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคือการต้องมีชีวิตอยู่กับคนที่ทำให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยวตังหาก "

Robin Williams







" We come to love not by finding the perfect person but by learning to see an imperfect person perfectly "

" เราไม่ได้ไขว้คว้าความรักเพื่อหาคนที่สมบูรณ์แบบแต่เราไขว่คว้าความรักเพื่อเรียนรู้ที่จะมองคนที่ไม่สมบูรณ์แบบตังหาก "

Angelina Jolie








" Life is a tragedy when seen in close-up but a comedy in long-shot "

" ชีวิตเป็นเรื่องทุกข์หากเฝ้ามองเฉพาะช่วงใดช่วงหนึ่ง แต่มักเป็นเรื่องตลกหากเราได้มองเห็นทุกช่วงเวลาของมัน "

Charlie Chaplin







" If you don't fight for what you want so don't cry for what you lost "

" ถ้าคุณไม่ลุกขึ้นสู้เพื่อสิ่งที่คุณต้องการ คุณก็อย่าร้องให้ในสิ่งที่คุณต้องสูญเสียไป "

Will Smith










" If you can't handle me at my worst so you don't deserve me at my best "

" ถ้าคุณไม่สามารถรับชั้นได้ในส่วนที่แย่ที่สุด คุณก็ไม่คู่ควรกับชั้นในส่วนที่ดีที่สุด "

Marilyn Monroe








" The best way to guarantee a loss is to quit "

" หนทางเดียวที่จะยินยันความพ่ายแพ้คือการถอนตัว "

Morgan Freeman










" If you spend too much time thinking about a thing, you'll never get it done "

" ถ้าคุณมัวแต่ใช้เวลามากเกินไปที่คิดจะลงมือทำ คุณก็จะไม่มีวันได้ลงมือทำ "

Bruce Lee







" True loser is the one who is so much afraid of losing that even dares to try "

" คนขี้แพ้ที่แท้จริงคือคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะลองเริ่มทำมัน "

Bruce Willis








" You never really learn much from hearing yourself speak "

" คุณจะแทบไม่มีวันได้เรียนรู้อะไรเลยจากการที่เอาแต่ฟังตัวเองพูด "

George Clooney


วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560

5 นิสัยที่หลายๆคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำก่อนนอน

อ่านเรื่องของคนที่ประสบความสำเร็จมาก็เยอะ คิดมั้ยว่าคุณก็สามารถเป็นแบบพวกเขาเหล่านั้นได้เช่นกัน




หลายคนคิดว่าตัวเองไม่มีศักยภาพพอที่จะทำอะไรสักอย่าง จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้แค่ไหน จะมีเงินเก็บเท่าคนอื่นหรือไม่ เหตุใดถึงคิดว่าตัวเองไม่สามารถทำได้ล่ะ ในเมื่อสิ่งนี้คุณสามารถปรับเปลี่ยนมันได้ง่ายๆด้วยตัวเอง เริ่มจากวิธีที่ง่าย และสามารถทำได้ทุกวันเสียก่อน


วันนี้ลองมาดูนิสัย 5 ข้อ ของคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเขาชอบทำกันก่อนนอนมาฝาก อ่านดูแล้วจะรู้ว่าความสำเร็จอยู่ไม่ไกลถ้าคุณทำตามนี้ได้ในทุกวัน

bill gates mark zuckerberg friends




1. อ่านหนังสือซักหนึ่งชั่วโมง เป็นประจำ

Big Gates มหาเศรษฐีแห่ง Microsoft เป็นนักอ่านตัวยง เขาใช้เวลาในแต่ละคืนก่อนที่จะนอนไปกับการอ่านหนังสือเป็นชั่วโมง ตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนถึงเรื่องทั่วๆไป และผลการศึกษาค้นคว้าจาก University Of Essex พบว่าการอ่านหนังสืออย่างน้อย 6นาทีต่อวัน ก็ช่วยจขัดความเครียดได้ถึง 68% เพราะทุกครั้งที่คุณอ่านหนังสือ มันเสมือนการออกกำลังกายให้กับจิตใจของคุณเอง ดังนั้นไม่ต้องรอช้า หาหนังสือ คุณอยากอ่านสักเล่มมาวางไว้ข้างเตียง แล้วอ่านมันก่อนนอน นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นด้วย









2. เลิกเล่นโทรศัพท์มือถือก่อนนอน

หลายคนคงรู้สึกขัดใจกับข้อนี้ เหลือเกิน แต่พักบ้าง คุณใช้เวลาไปกับมันมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนสมองให้โปร่งซะบ้าง อีกอย่างผลการค้นคว้าของ Dr Charles Czeisler จาก Havard University พบว่า แสงที่ออกมาจากโทรศัพท์จะไปทำลายระบบการนอนตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายคิดว่าตอนนี้คือเวลากลางวัน ทั้งๆที่เป็นกลางคืน ทำให้ร่างกายตื่นตัว เป็นสาเหตุที่หลายคนนอนไม่ค่อยจะหลับ ตื่นมาก็ไม่สดชื่น ไปทำงานแบบสังกะตาย รู้มั้ยว่าจุดเริ่มต้นของสิ่งดีๆ ก็อยู่ในที่การนอนอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นลองวางมือถือไว้ไกลเตียง หรือจะวางไว้อีกห้องนึงเลยก็ไม่ว่ากัน











3. เดินคลายเครียด

มี CEO บางท่านใช้วิธีการเดินคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยก่อนจะนอน อีกทั้งยังช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดที่คุณมีมาตลอดทั้งวัน งานวิจัยหลายชิ้นยังแสดงให้เห็นอีกว่า การเดินช่วยทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ทำให้คุณเกิดความคิดที่ลื่นไหล ไม่แน่ว่า CEO ที่ประสบความสำเร็จหลายๆคน อาจจะได้ไอเดียเจ๋งๆที่มาจากการเดินก่อนนอนก็เป็นได้











4. นั่งสมาธิ

รู้กันอยู่แล้วว่าการนั่งสมาธิคืออะไร การนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าออก ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่คนประสบความสำเร็จทั่วโลกเขาทำกัน การทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลายความเครียดที่มีมาตลอดวัน ยังทำให้สมองคุณปลอดโปร่งพร้อมรับมือกับงานหนักๆ ที่ถาโถมเข้ามาในวันรุ่งขึ้น และเมื่อคุณมีสมาธิ มีสติ การคิด การทำงานต่างๆ ก็สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้เป็นอย่างดี อยากให้ลองทำดูค่ะ เพราะเราก็กำลังเริ่มจะนั่งสมาธิแล้วเช่นกัน คิดงานได้คล่องทีเดียว










5.ลิสต์สิ่งที่จะทำในวันพรุ่งนี้


CEO แห่ง American Express มักจะใช้เวลาของเขาไปกับการคิดถึงสิ่งที่เขาจะทำในวันรุ่งขึ้น ด้วยการลิสต์สิ่งที่ควรทำเอาไว้ในสมุดโน็ตกันลืมแล้วตื่นมาพร้อมที่จะไปทำตามเป้าหมายที่ได้วางไว้เมื่อคืน
มีผลงานวิจัยอยู่หนึ่งชิ้นที่ช่วยส่งเสริมข้อนี้ว่า นักวิจัยได้ติดตามกลุ่มเด็กมัธยมจนพวกเขาจนเรียนจบวิทยาลัย พบว่ากลุ่มที่มีการจัดการวางแผนสิ่งที่จะทำก่อนนอน มีเกรด และผลการเรียนที่สูงกว่าเด็กที่ไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย เราเองได้ลองเขียนสิ่งที่จะทำในแต่ละวันดูแล้วขอบอกว่าช่วยให้ระบบความคิดเราคล่องตัวขึ้น ไม่ต้องมานั่งมึนว่าจะทำอะไรบ้างอีกแล้ว อยากให้ทุกคนลองนำข้อนี้ไปใช้ดู



วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2560

โจรปล้นธนาคาร..



1. โจรปล้นธนาคาร.ตะโกนคำแรกเมื่อชักปืนออกมาว่า .....

"ทุกคนอย่าขยับ เงินเป็นของรัฐ 
แต่ชีวิต เป็นของคุณ"

ทุกคนนอนสงบนิ่งบนพื้น ไม่มีใครกล้าเสี่ยงชีวิตตัวเอง เพื่อไปปกป้องเงินของรัฐ

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "เทคนิคการเปลี่ยนแนวคิด"

ใช้และมีเทคนิคการพูดนิดเดียว ก็อาจเปลี่ยนแนวคิดคนฟังไปไกลโข ...

2. ผู้หญิงคนนึงนอนอยู่บนพื้นทำท่าจะกรีดร้อง ทันใดนั้น โจรก็ตะโกนใส่ผู้หญิงว่า ...

"เรามีวัฒนธรรม ผมมาปล้นแบ็งค์ ไม่ได้มาข่มขืนคุณ ฉะนั้น โปรดเงียบ ... "

หญิงผู้นั้น ปิดปากเงียบสนิทโดยพลัน ...

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การเป็นมืออาชีพ"

ตั้งมั่นในเป้าหมายอย่างเดียวไม่วอกแว่ก...
แล้วเดินหน้าตามเป้าหมาย

3. เมื่อโจรกลับถึงฐานลับ โจรวัยรุ่นที่จบการศึกษาระดับปริญญาโท บอกกับรุ่นพี่โจรว่า ...

"เรามานับเงินกันดีกว่า ว่าเราได้มาเท่าไหร่"

แต่รุ่นพี่โจรที่จบเพียงชั้นประถม กล่าวว่า "แกนี่มันโง่มากเลย เงินตั้งเยอะตั้งแยะ จะนับยังไง คืนนี้ทีวีจะบอกเองแหละ ว่าเราได้มาเท่าไหร่!!"

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ประสบการณ์"

ปัจจุบัน ประสบการณ์ มีค่ามากกว่า ใบปริญญา

4. เมื่อโจรไปแล้ว รองผู้จัดการฯ กำลังจะโทรหาตำรวจ แต่ผู้จัดการธนาคารรีบค้านว่า ...

"เดี๋ยวๆๆ ใจเย็นๆ รองผู้จัดการฯ โจรเอาเงินไปเท่าไหร่ เรามานับกันก่อน แล้วค่อยบอกตำรวจว่า โจรเอาไปมากกว่านั้น"

เราเรียกสิ่งนี้่ว่า "กินตามน้ำ"

5. รองผู้จัดการฯ เปรยว่า "นั่นสิ ถ้าเป็นแบบนี้ มีโจรมาปล้นธนาคารเราทุกเดือน ก็ดีสินะ"

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "การเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส"

6. วันถัดมา ทีวีทุกช่องออกข่าวว่า มีโจรปล้นธนาคาร ปล้นไปได้ 100 ล้านบาท

โจรปล้นธนาคารต้องกลับไปนับเงิน นับแล้วนับอีก แต่ไม่ว่าจะนับกี่รอบ ก็นับได้แค่ 20 ล้าน

โจรพูดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า...
"เราเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เข้าปล้นธนาคารนี้ ปล้นออกมาได้แค่ 20 ล้านบาท แต่เจ้าผู้จัดการธนาคาร แค่มันหัวไวนิดเดียว มันกลับทำเงินได้มากกว่าเรา ถึง 80 ล้านบาท

ความเป็นคนหัวไว มีปฏิภาณไหวพริบดี เมื่อบวกกับการศึกษาดี มีดีอย่างนี้นี่เอง ...

เราเรียกสิ่งนี้ว่า "ความรู้และปฏิภาณไหวพริบดี มีค่ามากกว่า ทองคำ"

7. ผู้จัดการธนาคาร ยิ้มอย่างเริงร่า เพราะอยู่ดีๆ ก็มีเงินเพิ่มขึ้นถึง 80 ล้านบาท จากการที่มีโจรมาปล้นธนาคาร

เราเรียกสิ่งนี้ว่า... "โคตรโกง"

โจรเสื้อนอก ร้ายกาจยิ่งกว่า โจรปล้นแบ็งค์

คุณได้ข้อคิดอะไรจากเรื่องนี้บ้าง?!!

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

บทความดีๆจาก Jia Jiang ผู้เคยถูกปฏิเสธมา 100วันเต็ม "ความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ คือต้นเหตุของความไม่กล้า"



เพราะเราต่างก็หวาดกลัวการถูกปฏิเสธกันทั้งนั้น เพราะการปฏิเสธหมายถึงการไม่ได้อย่างที่ใจหวัง การถูกมองว่าเราดีไม่พอ เราไม่เป็นที่ต้องการ หรือการที่เราไม่ถูกเลือก ลองมาหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้ด้วยกัน มาฟังความคิดดีๆจาก ชายหนุ่มชาวจีนที่ชื่อ Jia Jiang น่าจะทำให้คุณมองเรื่องราวการถูกปฏิเสธเปลี่ยนไปและอาจจะเปลี่ยนแนวคิดของคุณไปตลอดกาล




หนุ่มจีนนามว่า Jia Jiang เขาแทบไม่ต่างอะไรจากผู้ชายอย่างเราๆ ที่มีไอดอลในดวงใจหนึ่งคนแล้วใฝ่ฝันว่าวันนึงเขาจะเป็นอย่างไอดอลเขาให้ได้ ในตอนนั้น Jia Jiang อายุ 14ปี เขาได้เลือก Bill Gates เป็นไอดอล ทันทีที่ได้ฟังเขาก็รู้สึกฮึกเหิมและมีแรงบันดาลใจที่คิดการใหญ่ไว้ว่า ภายในอายุ 25ปี เขาต้องมีบริษัทเป็นของตัวเองและบริษัทนั้นต้องยิ่งใหญ่ ร่ำรวยพอที่จะซื้อบริษัท Microsoft ของ Bill Gates ไอดอลเขาให้ได้เลยทีเดียว!!



แต่เวลาผ่านเลยไปจนเขาอายุ 30 ปีแล้วเขาก็ยังไม่มีความกล้าที่จะทำอะไรอย่างที่เขาคิดไว้เมื่อตอนอายุ 14ปี ที่พูดไว้เลยแม้แต่นิดเดียว เขารู้สึกท้อใจและนั่งทบทวนว่าอะไรกันคือสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ประสบความสำเร็จ แล้วเขาก็พบว่ามันคือความกลัวที่จะถูกปฏิเสธนั่นเอง

เขารู้สึกว่าที่ผ่านมาเขาไม่กล้าที่จะออกไปพรีเซนต์งานต่างๆ ไม่กล้าเสนอไอเดีย เพราะกลัวถูกมองว่าทำได้ไม่ดี ไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง ไม่กล้าเริ่มอะไรใหม่ๆเพราะกลัวจะผิดหวัง และกลายเป็นไม่กล้าลงมือทำอะไรที่ไม่เคยทำในชีวิตประจำวันมาก่อนจนติดเป็นนิสัย และกลัวจะบั่นทอนความตั้งใจในชีวิตเข้าไปอีก





" เพราะเราต้องเผชิญหน้ากับการปฏิเสธ " Jia Jiang ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะไม่ยอมให้ความกลัวมาทำให้เขาจมอยู่กับที่ต่อไปอีกแล้ว เขาพยายามหาทางทุกวิถีทางเพื่อตามหาวิธีเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธจนกระทั้งเขาไปเจอกับ Rejection Therapy เกมที่ถูกคิดค้นขึ้นโดย Jason Comely ชาวแคนนาดา โดยกฏก็มีอยู่ว่าจงออกไปเดินหาการปฏิเสธซะ หาการปฏิเสธตลอด 30วันเพื่อบำบัดความกลัวการถูกปฏิเสธที่มีอยู่ในตัวเองเสีย

Jia Jiang ตัดสินใจว่าจะทำ Rejection Therapy แต่จะไม่ได้ทำแค่ 30 วัน สำหรับคนอย่างเขาแล้วมันต้องซัก 100วันเต็ม โดยตลอดการทำ Rejection Therapy เขาได้ถ่ายคลิปวีดีโอที่ตัวเองได้ทำไว้ด้วย รวมถึงการเขียนบันทึกเรื่องราวการเรียนรู้จากการทำแบบนี้




วันแรกของภารกิจ 100 วันกับการถูกปฏิเสธของ Jia Jiang เขาเลือกที่จะเอ่ยปากขอยืมเงิน 100 เหรียญจากคนแปลกหน้า ซึ่งแน่นอนค่อนข้างจะ 100% ว่าโดนปฏิเสธแน่ๆ นั่นแหละครับ ใครจะไปให้หล่ะ Jia Jiang เองก็คิดอยู่แล้ว แต่เขาก็เดินแบบเขิล กล้าๆกลัวๆ เข้าไปพูดกับชายแปลกหน้าร่างใหญ่หนวดเคราเฟิ้มคนหนึ่งว่า "คุณครับผมขอยืม 100ดอลลาร์ได้ไหม" ชายคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า "ไม่ ทำไม"เพราะเขาอยากรู้เหตุผลที่ Jia Jiang ขอยืมเงินเขา

แทนที่ Jia Jiang จะบอกความต้องการของตัวเองไป เขากลับไม่กล้าที่จะแม้แต่จะพูดคุย แถมยังวิ่งหนีอีกตังหาก เขาจึงเรียนรู้ว่าบางทีความการปฏิเสธทำให้เรากลัวอะไรเกินความเป็นจริง ทั้งๆ ที่ผู้ให้อาจจะพร้อมที่จะให้อะไรมากกว่าที่เราคิดเพียงแต่มีเหตุผลที่ดีพอ



วันต่อมา Jia Jiang เลือกไปที่ร้านเบอร์เกอร์แล้วเขอเบอร์เกอร์เพิ่มต่อที่เขากินเบอร์เกอร์เสร็จ พนักงานเสิร์ฟทำหน้าตางงใส่เขาแล้วถามว่าการเติมแฮมเบอร์เกอร์คืออะไร คราวนี้ Jia Jiang ไม่วิ่งหนีการปฏิเสธอีกแล้ว เขาบอกว่าก็เหมือนเติมน้ำตอนดื่มน้ำหมดไง แต่เป็นการเติมเบอร์เกอร์แทน แถมเขายังบอกอีกด้วยว่าเขารักร้านนี้มากเลย และจะรักขึ้นอีกถ้าที่นี่มีบริการเติมเบอร์เกอร์

แทนที่พนักงานจะไล่เขาไป พนักงานก็บอกเขาอย่างสุภาพว่าจะแจ้งผู้จัดการให้ คราวนี้คงเติมเบอร์เกอร์ให้ไม่ได้ แต่เขาอาจจะทำมันในอนาคตก็เป็นได้ แม้คราวนี้ Jia Jiang โดนปฏิเสธเหมือนเดิมแต่เป็นการปฏิเสธที่เขาได้เรียนรู้เยอะขึ้นและมีโอกาสประสบความสำเร็จกว่าการไม่ต่อรองเหตุผลใดๆเลย

เขาทำสำเร็จในวันที่สามเมื่อเขาขอร้องให้ร้านโดนัททำโดนัทซ้อนกันห้าห่วงเป็นห่วงโอลิมปิค พนักงานถามเขาว่าเธอจะทำมันได้อย่างไร แล้วเอากระดาษออกมาจด Jia Jiang คิดว่าเขาจะโดนปฏิเสธเหมือนเดิมแต่เป็นการปฏิเสธที่เขาได้เรียนรู้เยอะขึ้นและมีโอกาสประสบความสำเร็จกว่าการไม่ต่อรองเหตุผลใดๆเลย

เขาทำสำเร็จในวันที่สามเมื่อเขาขอร้องให้ร้านโดนัททำโดนัทซ้อนกันห้าห่องเป็นห่วงโอลิมปิค พนักงานถามว่าเธอจะทำมันได้อย่างไร แล้วเอากระดาษออกมาจด Jia Jiang คิดว่าเขาจะโดนปฏิเสธอีก แต่มันกลับทำให้เขาได้โดนัทเป็นห่วงโอลิมปิคอย่างที่เขาต้องการจริงๆ



"ทำไม" กุญแจลับเปลี่ยนคำปฏิเสธเป็นคำตอบรับ

ไม่เพียงแค่การให้เหตุผลของเราเท่านั้น หลายครั้งที่เราถูกปฏิเสธเรากลับลืมถามคำถามสำคัญไป คำถามที่ว่าสั้นๆ ง่ายๆ แค่ว่า "ทำไม" Jia Jiang ยกตัวอย่าง 1ใน100วันกับการถูกปฏิเสธของเขาว่าเดขาขอเอาดอกไม้ไปปลูกในสวนหลังบ้านของหญิงคนหนึ่ง เธอเอ่ยปากปฏิเสธเขาจึงถามว่าทำไม เธอก็ตอบว่าเป็นเพราะว่าเธอเลี้ยงหมาที่ชอบขุดทำลายต้นไม้ เธอจึงกลัวว่าจะทำให้ดอกไม้ของเขาเสียหาย จากนั้นเธอเลยพูดต่อว่าไปบ้านตรงข้ามสิ บ้างตรงข้ามชอบดอกไม้มากเลยล่ะ

แทนที่ Jia Jiang จะต้องถือดอกไม้ คอตกกลับบ้าน เพราะคำถามว่าทำไม ทำให้เขาได้ปลูกดอกไม้อยู่ดีในสวนหลังบ้านอีกหลัง
ตลอด 100วันกับการถูกปฏิเสธของ Jia Jiang เขาได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับการถูกปฏิเสธ ว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเราสามารถต่อรอง ตั้งคำถาม หรือแม้แต่อธบายเหตุผลของเราเพื่อใสห้สิ่งที่เราขอ หรือสิ่งที่เราอยากทำประสบความสำเร็จได้

การกระโจนเราไปเผชิญหน้ากับการถูกปฏิเสธจึงสอนให้เขากล้าที่จะลงมือทำอะไร มากกว่าเอาแต่คิดไปต่างๆไนานาแล้วจมอยู่กับเหตุการณ์ที่ เราจินตนาการขึ้นเองแล้วกักขังเราไว้ไม่ให้พบกับความสาามารถที่แท้จริง โอกาส และความเป็นไปได้ที่แท้จริง ซึ่งในที่สุด Jia Jiang ก็สามารถตั้งบริษัทเป็นของตัวเองได้ในตอนอายุ 30